เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๘ ก.ย. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

คนเราเวลาเกิดมานี่ทุกคนเกิดมาถามว่าชีวิตนี้คืออะไร ชีวิตนี่มาจากไหนแล้วชีวิตนี่จะเป็นไปอย่างไรทุกคนสงสัยหมดเลย แต่ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานี่ท่านจะเห็นตอบเรื่องสภาวะสิ่งนี้ได้หมดนะ พระสารีบุตรเวลาตอบกับลัทธิต่างๆว่าหนึ่งไม่มีสองคืออะไร หนึ่งไม่มีสอง โลกนี้เป็นของคู่ มืดคู่กับสว่าง สิ่งต่างๆ สุขคู่กับทุกข์ หนึ่งไม่มีสอง 

ชีวิตนี้คือไออุ่น ชีวิตนี้คือตัวพลังงานแต่ไม่ใช่พลังงานแบบว่าพลังงานนี้เราเอามาเปรียบเทียบเฉยๆ แต่พลังงานต่างๆมันไม่รู้สึกในตัวมันเองหรอกตัวที่เป็นพลังงานมันขับเคลื่อนไป มันก็เป็นสสารส่วนหนึ่งเป็นพลังงานอันหนึ่งพลังงานของโลก แต่ถ้าชีวิตนี้คือไออุ่น คือตัวพลังงานนั้นคือมันมีชีวิตมันมีความรู้สึกแต่ความรู้สึกบางชีวิตมีความรู้สึกอันนี้เราเข้าไปถึงจุดนี้แล้ว เราถึงว่าจะรู้จักชีวิตตัวนี้ไง 

ชีวิตตัวนี้คือจิต จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลสจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส ชีวิตนี่เกิดขึ้นมาชีวิตนี้เป็นของเรา เรานี่ชีวิตนี้เป็นของเรา ร่างกายนี่เป็นของเรา แต่สิ่งที่เป็นของเรานี่เรากลับเป็นเจ้าของ เราเป็นเจ้าของหัวใจเป็นเจ้าของร่างกาย แต่เราไม่มีอำนาจในร่างกายและจิตใจของเราเลย อำนาจและจิตใจของเรามันขับเคลื่อนมันไปตามอำนาจของมันเราต้องเดินร่างกายมันต้องการสิ่งใด 

คนเกิดมานี่ คนเกิดมาแล้วร่างกายตั้งแต่เด็กขึ้นมานี่เราต้องให้มีความเจริญเติบโต มันเปลี่ยนแปลงสภาวะไปตลอดมันมีอำนาจเหนือเรานะ ผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา เวลามันต้องการสิ่งใดเราต้องการหาสิ่งนั้นมาเพื่อมันแต่เสร็จแล้วมันก็ไม่อยู่ในอำนาจของเรานี่อำนาจของเราในร่างกายก็ไม่มี อำนาจของเราในจิตใจก็ไม่มีแล้วชีวิตนี้คืออะไร ชีวิตนี้เพราะการเกิดนี้สภาวะของการเกิด สรรพสิ่งต่างๆ ต้องมีการเกิด 

สิ่งมีชีวิตที่ไม่มีวิญญาณครองคือพืชผลต้นไม้มันก็เกิดเจริญงอกงามไปของมัน แต่มันไม่มีวิญญาณครองแต่ชีวิตของเราเพราะเราเกิดมาเรามีวิญญาณของเรา ตัวจิตปฏิสนธินี่ตัวนี้ตัวเกิดในครรภ์พระพุทธเจ้าบอกการเกิด ๔อย่าง เกิดในครรภ์ เกิดในไข่เกิดในน้ำครำเกิดในโอปปาติกะ สิ่งที่ต้องเกิดชีวิตนี้ต้องเกิดตลอดไป แต่การควบคุม ที่ว่าเมื่อก่อนจิตนี้หนึ่งเดียว จิตนี้ไปหนึ่งเดียวแล้วมนุษย์เมื่อก่อนเรามี ๑๖ล้านคนเดี๋ยวนี้มี ๖๐ ล้านคนมาจากไหน 

ในพระไตรปิฎกนะเวลาเกิดไปนะสัตว์เกิดเป็นมนุษย์ก็ได้มนุษย์เกิดเป็นสัตว์ก็ได้ แล้วสัตว์น้ำสัตว์บกที่เราไม่เห็นชีวิตอีกมากมาย แล้วจิตวิญญาณในวัฏฏะอีกมหาศาลมากพยายามแสวงหาที่เกิดแต่เขาไม่มีโอกาส เขาไม่มีโอกาสๆ เขาต้องเกิดในสถานะของเขาเขาเกิดเป็นสัตว์มดปลวกเกิดมามหาศาลเลย 

พระโพธิสัตว์จะไม่เกิดต่ำกว่านกกระจาบ ไม่เกิดต่ำกว่านั้นไม่เกิดเล็กกว่านั้นแต่พระเราในครั้งพุทธกาลในพระไตรปิฎกได้จีวรมา มาตัดจีวรอยู่ด้วยความผูกพันกับจีวร แต่คืนนั้นเป็นโรคท้องเสียตายแต่คืนนั้น แต่ด้วยความผูกพันของใจ ใจไปเกิดเป็นเล็นในจีวรนั้น แล้วพอดีพระเขาจะแจกจีวรนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าจีวรนั้นอย่าพึ่งแจกนะ เก็บไว้ก่อนพับไว้ให้ดีแล้วเก็บไว้ในตู้ ๗วันเล็นนั้นตายพอตายจากนั้นไปเกิดบนสวรรค์ เพราะอะไร เพราะเขาเป็นพระเขาประพฤติปฏิบัติดีมาแต่เขาปฏิบัติไม่ถึงที่สุดไง ไม่ถึงกับเข้าไปควบคุมใจของตัวเองได้ไง สิ่งนี้เป็นอำนาจ 

อำนาจของใจมันมีอำนาจมากกว่าความรักความผูกพันเราว่าเป็นไปได้อย่างไร คนเราจะไปผูกพันขนาดนั้นได้อย่างไร ก็เหมือนเรานี่ เราไปตลาดมา เราไปซื้อเสื้อผ้ามาเป็นของใหม่แฟชั่นใหม่สิ่งที่ใหม่เราจะติดใจมาก เราจะผูกพันมาก นี่พระบวชมาแล้วในความผูกพันของใจ มันยังไม่ได้ชำระมันก็มีความผูกพันอย่างนั้น เวลาตายไปนี่ไอ้ความผูกพันไอ้ความยึดมั่นอันนั้นมันทำให้ไปเกิดเป็นเล็น 

แต่คุณงามความดีไงเกิดพบมิตรดีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่รู้แจ้งโลก ถึงว่าสงสารวิญญาณดวงนี้ ถ้าเกิดมีการแบ่งกันเพราะตามวินัยภิกษุเวลาตายไปนี่สมบัติบริขาร ๘ ต้องตกเป็นของสงฆ์ถ้าสงฆ์อุปัฏฐากอยู่สงฆ์นั้นจะได้สมบัติอันนั้นถ้าสงฆ์นั้นไม่มีใครอุปัฏฐากอยู่ต้องเป็นของกลาง แล้วต้องทำญัตติแจกกันในสงฆ์นั้น นี่ตามวินัยกรรมวินัยกรรมเป็นสภาวะแบบนั้นสงฆ์ก็แจกกันตามหน้าที่ไงเพราะว่าตายแล้วก็ทำตามวินัย คือผ้าอันนั้นก็ต้องแจกไป เพราะเป็นประโยชน์ต่อไป 

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นแก่วิญญาณดวงนั้น ให้พับเก็บไว้ก่อน ให้เล็นนั้นมันมีความสุขในจีวรนั้นถ้าแจกเล็นตัวนั้นมันจะโกรธเพราะยึดไปเอาของของ มัน มันต้องโกรธ สิ่งที่โกรธมันจะไม่ได้ไปสวรรค์หรอก แต่ว่าถ้าเอาไปพับเก็บไว้ในตู้ เล็นมันก็มีความสุขของมัน สุขอยู่ในผ้า ไปว่าผ้านั้นของเราๆจนกว่าชีวิตนี้ตายไป ชีวิตตายไปนี่ ตายจากนั้นไปก็ปฏิสนธิบนเทวดา นี่อยู่ในพระไตรปิฎกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ขนาดที่ว่าประคองให้จิตดวงนั้นไปถึงเป้าหมายไปถึงที่สุขสบายของเขา มันเป็นเพราะว่าสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นใช่ไหม 

แต่เราจะไม่เห็นของเราเราถึงว่าชีวิตของเราคืออะไรการดำรงรักชีวิตการแสวงหาปัจจัย๔ เรื่องของโลกมันเป็นเรื่องความทุกข์ มันเป็นเรื่องที่ว่าเป็นงานอันใหญ่โตมากเราต้องแสวงหาสิ่งนั้นเพื่อความความสมความปรารถนาของเรา มันเป็นอย่างนั้นจริงๆโลกเป็นแบบนั้นจริงๆ ฉะนั้นว่าคนเกิดมาในโลกแล้วถึงต้องแสวงหา ต้องพยายามทำหน้าที่ของตัวเอง จนลืมหน้าที่อันสำคัญอันหนึ่ง 

ในศาสนาสอนเรื่องอย่างนั้นแต่ศาสนาสอนอย่างนั้นแล้วพระปฏิบัติทำไมไม่ปฏิบัติให้ถึงที่สุดให้หมดล่ะ ทำไมพระปฏิบัติขึ้นมามีดีก็มี มีตามที่ว่าเขาเป็นไปตามกระแสโลกก็มีสิ่งนั้นเพราะว่าหัวใจไง หัวใจการประพฤติปฏิบัติการปรารถนา เริ่มต้นการบวชทุกคนปรารถนาดีหมด แต่อำนาจของใจอำนาจของกิเลสนี้มีอำนาจมาก ถ้าอำนาจของกิเลสมันพยายามขับไสของมัน นี่มันมีอำนาจเหนือเราไง เราไม่มีอำนาจทั้งร่างกายไม่มีอำนาจทั้งจิตใจทั้งๆ ที่ของนั้นเป็นของเรานะ 

เราเกิดมานี่บุญพาเกิดเป็นมนุษย์ นี่มีบุญมากถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์เกิดเป็นมนุษย์เพราะอะไรเพราะมนุษย์มีโอกาสไง เกิดเป็นเทวดาก็ไม่มีโอกาสเท่ามนุษย์ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ก็ตรัสรู้ในภพของมนุษย์เพราะมนุษย์นี่มันต้องเผชิญกับสภาวะของร่างกาย ที่มันต้องการอาหารของมันต้องเจริญเติบโตของมัน แล้วเห็นสภาวะที่มันแปรสภาพมันเปลี่ยนแปลงของมัน มันเห็นชัด ถ้าเป็นเทวดาเขาเกิดขึ้นมาจุติเกิดขึ้นมาเขาก็ได้ร่างกายอย่างนั้นมา นี่มันก็เป็นจุดสภาวะแบบนั้น จนกว่าแสงมันจะจางลงไป พอตายขึ้นไปมันไม่เห็นสภาวะการเปลี่ยนแปลง 

แต่เราเห็นสภาวะการเปลี่ยนแปลงการเปลี่ยนแปลงแบบภายนอกมันจะสลดสังเวชขึ้นมายมทูตไปแสดงการเกิด การแก่การเจ็บ การตาย ให้เจ้าชายสิทธัตถะเห็นยังมีความรู้สึกความสะเทือนใจถึงขนาดออกบวช นั่นนะธรรมแสดงตัวนี่ร่างกายอยู่กับเรา มันเจริญเติบโต มันเกิดมาแล้วมันก็แก่ไป แล้วมันก็เจ็บไข้ได้ป่วย แล้วมันก็ต้องตายไป ถ้าเราเห็นตรงนี้เราจะเกิดมรณานุสติความคิดถึงความตายตลอดไป เราจะไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมขนาดไหน 

เราต้องการสิ่งต่างๆ มาก ลองกำหนดดูสิมรณานุสติคิดถึงความตายๆ มันจะคิดแล้วมันจะสลดสังเวช แล้วมันจะหาทางออกมันพยายามจะคิดว่าแล้วสิ่งใดจะเป็นที่พึ่งของเรา ถ้าสิ่งใดเป็นที่พึ่งของเรา อำนาจของกายนี่ เราไม่มีอำนาจเหนือมันตลอดไป เพราะมันเป็นธาตุ ๔ดิน น้ำ ลม ไฟเกิดขึ้นมาจากกรรม จิตปฏิสนธิในครรภ์ของมารดานี่ได้อาศัยดิน น้ำลม กับไฟ จากไข่ของแม่เกิดมาเป็นมนุษย์ 

แล้วเกิดมาเป็นมนุษย์เราถ้ามีความเข้าใจมีความเห็นในธรรมเราจะออกหาสมบัติอีกอันหนึ่ง สมบัติอีกอันหนึ่งมันเป็นสมบัติของใจใจมีอำนาจมากมันมีการแสวงหา มันต้องการของมันมากมันจะขับไสของมันไป เราต้องพยายามสงบอันนั้นเข้ามาเพื่อให้มันเปิด ถ้าน้ำมันมีน้ำอยู่แต่เราไม่สามารถหาน้ำนั้นมาใช้ประโยชน์ได้เราจะไม่เป็นประโยชน์เลยแต่ถ้าเราจะหาน้ำมาเป็นประโยชน์ได้เราต้องมีน้ำหาน้ำมา หาน้ำเพื่อดำรงชีวิตหาน้ำขึ้นมาเพื่อให้ใจชุ่มชื่น 

นี่ก็เหมือนกัน ใจมันแสวงหา มันทุกข์ยากของมัน มันเป็นไปตามสภาพของมัน เราทำความสงบของใจเข้ามา สิ่งนี้เราจะเริ่มมีอำนาจกับเรา ถ้าเรามีอำนาจกับเราๆสามารถจะทำงานของเราได้ ถ้างานที่เราทำอยู่ความคิดขนาดไหน นักวิทยาศาสตร์เห็นไหม จินตมยปัญญาความจินตนาการไปของโลกมันจะเป็นปัญญาของโลกไป สิ่งนี้เป็นประโยชน์กับโลก เป็นประโยชน์กับโลกมากความเจริญรุ่งเรืองความสะดวกสบายของโลกโลกปรารถนาสิ่งนั้น ความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา 

คนเราทุกข์ยากนะใช้ชีวิตไปส่วนหนึ่งแสวงหาส่วนหนึ่ง มันมีความทุกข์ความยากถ้ามันมีความสุขมีความพอใจของมันมันจะมีความสุขมาก คนเราสะดวกสบายจนเวลาเหลือมากนะ บางคนก็ว้าเหว่ ชีวิตนี้ทำอะไร จะไม่มีสิ่งใดทำ มันจะว้าเหว่ มันจะไม่มีที่พึ่ง เราคิดแต่เฉพาะว่าให้พึ่งแต่ความสะดวกสบายของร่างกายเราไม่คิดที่พึ่งให้ความสะดวกสบายของใจบ้างไง 

ถ้าใจมันพักสงบนะมันจะไม่ว้าเหว่ มันจะไม่ไปเกาะเกี่ยวกับสิ่งใด นี่ชีวิตมันว้าเหว่มันทุกข์ยาก ยิ่งคนอายุมากใกล้ที่ว่าจะไป ใกล้ๆจะไป มันจะเริ่มว้าเหว่จะรักลูกรักหลาน รักเพราะอะไรเพราะเราใกล้เวลาจะถึงฝั่งๆเวลาพูดก็ได้ไม่กลัวตาย ทุกคนไม่กลัวตายหรอก เพราะศาสนาสอนไว้แล้วเกิดมาต้องตาย เห็นสภาวะการตายทั้งหมด 

แต่ตายมาแล้วมันก็ยึดมันก็อาลัยอาวรณ์ คนเราจะต้องไปเผชิญกับสภาวะใหม่แล้วก็ไม่รู้ว่าสภาวะใหม่เป็นอย่างไร ทำไมมันจะไม่อาลัยอาวรณ์ไม่มีความคิดความกลัว มันต้องกลัวในสภาวะแบบนั้น เราถึงต้องย้อนกลับมาดูตัวนี้ การตายและการเกิดสภาวะเปลี่ยนแปลงนี้เป็นสมมุติทั้งหมด เราเป็นเจ้าของชั่วคราวเราเป็นเจ้าของชีวิตเจ้าของร่างกาย แต่ร่างกายนี้ชั่วคราว 

แต่ถ้าเราทำเข้ามาเห็นสภาวะของใจ เราจะเป็นเจ้าของที่ว่าเป็นความจริงเลยเจ้าของใจ ใจนี้ไม่อยู่ในอำนาจของกิเลส กิเลสมันมีอำนาจมากมันถึงไปอำนาจของมันแล้วมันขับไสสิ่งนั้นมันฉุดกระชากลากไปเราก็เดินต้อยๆตามไป เราไม่มีอำนาจเลย เราต้องเป็นขี้ข้าของมันทั้งหมดถ้ากิเลสมันขับไสไป 

แต่ถ้าพยายามทำบุญกุศลขึ้นมานี่มันเริ่มสะสมคุณงามความดีขึ้นมา มันมีสิ่งที่เข้าไปต่อต้านกัน มีสิ่งที่ว่ามีน้ำหนักมากกว่า ถ้าน้ำหนักมากกว่าความคิดเราใฝ่ดีๆ ทำดีเพื่อเราทำดีแล้วเป็นดีสิ่งต่างๆ โลกจะเป็นอย่างไรเป็นไป เราอยู่กับสังคมๆ เป็นสภาวะแบบนั้นเราจะแบกสังคมไม่ได้หรอก เราอยู่สังคมเราก็ทำคุณงามความดีของเราถึงที่สุดของมันถึงว่าผู้ที่บริหารต้องมีพรหมวิหาร ๔ ต้องมีเมตตา มีกรุณาสุดท้ายแล้วก็ต้องอุเบกขาเพราะคนมันไม่ฟังเราหรอก คนมันไม่เชื่อมันก็ไม่เชื่อนะ มันมือบอดสภาวะแบบนั้น เราแบกโลกก็ตาย 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมจะสอนใครดีๆไม่รู้จะสอนใครเพราะใครจะรู้ได้ขนาดเรา แต่ถึงที่สุดแล้วคนที่สร้างสมมาก็มี อุเบกขานี่ ผู้บริหารต้องมีอุเบกขา วางของเขาไว้ตามสภาวะกรรมกรรมของเขามันเป็นสภาวะแบบนั้น เขาไม่เชื่อฟังเราๆ เขาไม่มีเหตุผลเพราะเขาหยาบของเขา เขาสร้างของเขามาอย่างนั้นเองแล้วของเราต้องย้อนกลับมาให้ใจเราไม่ไปเกาะเกี่ยวจนเป็นแบกภาระไง เราไม่แบกภาระ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าไม่ใช่ให้ปล่อยวางจนไม่ทำสิ่งใดเลย 

ถ้าปล่อยวาง เห็นไหมเวลาเราประพฤติปฏิบัติพระพุทธเจ้าบอกให้ปล่อยวางให้ว่าง เราปล่อยวางเราก็สบายๆ เราปล่อยวางสภาวะโลก แต่เราต้องมาทำหัวใจของเราถ้าหัวใจเราจะปล่อยวางมันต้องมีเหตุมีผลมันจะปล่อยวางตัวเองไม่ได้หรอก เพราะไม่มีเหตุมีผลเพราะกิเลสมันยึดตาย แล้วถ้าเราจะปล่อยวางเราต้องปล่อยวางจากสิ่งนั้นให้มันสงบเข้ามา 

ถ้ามันปล่อยวางจากข้างนอก บ่วงแห่งมาร รูป รสกลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร ใจมันไปเกาะเกี่ยวรูป รส กลิ่นเสียง เกาะเกี่ยวมารไปทั้งหมดเลย แล้วถ้ามันปล่อยสิ่งนั้นเข้ามามันเป็นอิสระเข้ามา แล้วมันจะไปว้าเหว่อย่างไร มันไปเกาะสิ่งใดสิ่งนั้นก็พึ่งไม่ได้ๆแล้วมันมาเกาะตัวมันเอง ตัวมันเองเป็นความจริงนะ 

ใจนี้เป็นความจริง ใจนี้เกิดตายๆ แต่สภาวะใหม่แต่ใจดวงเก่า ใจดวงเก่าในสถานะใหม่ มันกลับมาที่นี่แล้วมาพิจารณาของมัน เราไปเกาะเกี่ยวเราไปแบกเขานี่เราทุกข์ไหม สิ่งที่ทุกข์มันเห็นโทษของมัน มันก็ปล่อยเข้ามาแล้วหัวใจของเราล่ะ ความคิดมันทุกข์ไหมความคิดที่มันคิดต่างๆ เวลาเราไปยึดมันทุกข์ไหม เห็นความเป็นไปของมัน 

สรรพสิ่งนี้เป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา อนัตตาตลอดเพราะมันเกิดดับๆ ในหัวใจ แต่เรายึดแล้วเราทุกข์ตลอดไป นี่สภาวะแบบนี้ย้อนกลับเข้ามาใช้ความคิดเข้ามา เราจะมีอำนาจเหนือตัวเอง ถ้ามีอำนาจเหนือตัวเองคือสภาวธรรม คือการภาวนา 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องการภาวนานะเรื่องการภาวนาให้กับสัตว์โลกให้กับเราเป็นผู้ก้าวเดิน มีคนคิดมากเลยว่าสภาวะแบบนี้ทำไมเมื่อก่อนไม่มีใครทำๆเขาทำไม่ได้เพราะว่ามันความคิดที่ว่ามันจะย้อนกลับเข้ามา เราคิดสิถนนหนทางมันยังมีแผนที่แล้วหัวใจมันมีแผนที่อะไรอริยสัจนี่ เวลาว่ามรรคนี่มรรคมันจะรวมตัวมันต้องใช้สมาธิน้ำหนักเท่าไหร่ ใช้ความเพียรเท่าไหร่ น้ำหนักเท่าไหร่ ทุกคนต้องการเป็นสูตรสำเร็จ 

แต่เวลาคนชอบทานอาหาร คนชอบสิ่งต่างๆ ความคิดความผูกพันไม่เท่ากัน มันไม่เท่ากันหรอกมันจะเป็นไปตามอำนาจของใจดวงนั้น ตามความเป็นไปของใจดวงนั้นมันจะเป็นปัจจัตตัง ความเฉพาะใจของดวงนั้นใจดวงนั้นถึงย้อนกลับมาเพราะความติดของใจมันไม่เหมือนกันถึงว่ามันต้องปฏิบัติขึ้นมาแล้วย้อนกลับเข้ามาตลอดสิ่งนี้มันถึงว่าเป็นภาวนามยปัญญา เป็นมรรคที่เกิดในศาสนาพุทธ 

ทุกศาสนาเพราะเวลาประชุมเรื่องศาสนาสัมพันธ์กันมันเปิดเผย คัมภีร์ต่างๆ มันเปิด มีเฉพาะศาสนาพุทธเท่านั้นที่มีมรรคอริยสัจจังศาสนาอื่นสอนแต่ทำดีทำชั่วๆทำดีทำชั่วเป็นศีลธรรมจริยธรรม สิ่งนี้มีอยู่โดยดั้งเดิมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมามันก็มีอยู่แล้วคนดีก็คือคนดี คนชั่วก็คือคนชั่ว มันเป็นธรรมชาติอย่างนั้น แต่ความดีความชั่วของโลกมันก็เป็นของประจำโลก แต่ความดีความชั่วที่เป็นอริยสัจเป็นความเป็นจริงเท่าไหร่ที่เข้าไปชำระกิเลส มีเฉพาะศาสนาพุทธของเราเท่านั้น 

แล้วถ้าเราก้าวเดินตามครูบาอาจารย์เราสร้างของเราขึ้นมานี่เป็นสมบัติของเราขึ้นมา จะเป็นมรรคไง งานชอบๆ นี่งานประกอบสัมมาอาชีวะชอบทำความถูกต้องชอบ สิ่งนี้เป็นคนดีแน่นอน แต่ว่าถ้าจะเอาชนะหัวใจนี่มันจะมีงานชอบอันหนึ่ง งานชอบขึ้นมาคือความเห็นสภาวะใจที่เปลี่ยนแปลงไปเห็นสภาวะใจที่ไปเกาะเกี่ยวเขา นั่นคือ ตัวปัญญา ปัญญามันจะย้อนกลับมันมีเหตุผล มันเห็นโทษๆ ที่ว่านี้คือไฟ เกาะทีไรทุกข์ทุกทีเกาะทีไรเผากูทุกที 

ถ้าจับใจตัวเองนี่ สิ่งนี้มันเผามันต้องดับได้ ดับด้วยน้ำอมฤตธรรมนี่คือความสงบของใจ แล้วความใคร่ครวญของปัญญาชำระกิเลสจนมันออกไป สิ่งนี้เคยมีอำนาจเหนือใจถ้าสิ่งนี้มีอำนาจเหนือใจ อำนาจของกายเราก็ติดพันมัน ถ้าสิ่งนี้เราชำระมันออกไปจากใจมันจะไม่มีอำนาจเหนือใจเรา แล้วร่างกายมันจะมีความหมายอะไร ร่างกายก็เป็นเฉพาะธรรมชาติเป็นธาตุเฉยๆ มันจะมีอำนาจเหนือกับใจได้อย่างไร มันจะไม่มีอำนาจเหนือใจเลยเพราะหัวใจมันเข้าใจหมด มีอำนาจเหนือใจซะอย่างเดียวจะเข้าใจสิ่งต่างๆหมดแล้วชำระได้ทั้งหมด นี้คือเราเป็นเจ้าของเราเอง ชีวิตมีเป็นของเรา 

ชีวิตนี้ถ้าวนอยู่ในโลกนี้เราจะไม่รู้ว่าชีวิตนี้คืออะไรแล้วก็วนตายวนเกิด แต่ถ้าเราเห็นสภาวะตามความเป็นจริง ชีวิตนี้เป็นของเราแล้วจะไม่เวียนตายเวียนเกิด เพราะอะไร เพราะเป็นของเรา ไม่ใช่เป็นของมาร ถ้าเป็นของมารต้องเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ เป็นของเราแล้วเราเป็นเจ้าของแล้วจะมีความสุขมากเกิดจากการประพฤติปฏิบัติของเรา เอวัง